
บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลเป็นครั้งแรก มูลค่า 6.6 พันล้านบาท หลังจากทำกำไรสุทธิต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่สามติดต่อกัน โดยบริษัทฯ มีกำไรสุทธิไตรมาส 3/2568 อยู่ที่ 1.6 พันล้านบาท
ทรู คอร์ปอเรชั่น รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปี 2568 ที่แข็งแกร่ง โดยมีกำไรสุทธิหลังหักภาษี (NPAT) อยู่ที่ 1.6 พันล้านบาท ซึ่งถือเป็นไตรมาสที่สามติดต่อกันที่บริษัทสามารถทำกำไรได้ หากไม่รวมผลกระทบจากรายการพิเศษที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว บริษัทมีกำไรสุทธิหลังปรับปรุง (Normalized Net Profit) สูงถึง 4.6 พันล้านบาท
ด้านรายได้ก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย หรือ EBITDA ของบริษัทอยู่ที่ 2.7 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ความสามารถในการทำกำไรที่เพิ่มขึ้นนี้มาจากการได้รับใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ใหม่ ซึ่งช่วยลดต้นทุนโครงข่ายและเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการ

นายซิกเว่ เบรกเก้ ประธานคณะผู้บริหารกลุ่ม บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า “เมื่อสิ้นสุดไตรมาส 3/2568 เราคงความสามารถในการทำกำไรได้อย่างต่อเนื่อง โดยมีหมุดหมายสำคัญคือการจ่ายเงินปันผลครั้งแรกให้ผู้ถือหุ้น ความสามารถในการทำกำไรที่แข็งแกร่งขึ้นจากการปรับตัวดีขึ้นของ EBITDA และการบริหารการเงินอย่างมีวินัย ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ลูกค้าและผู้ถือหุ้นอย่างยั่งยืน”
สำหรับการดำเนินงานในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 ทรู คอร์ปอเรชั่น มีกำไรสุทธิหลังหักภาษีรวม 5.2 พันล้านบาท คณะกรรมการบริษัทจึงมีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลเป็นครั้งแรก จำนวน 6.6 พันล้านบาท คิดเป็น 0.19 บาทต่อหุ้น หรืออัตราการจ่ายปันผลสูงถึง 125% ซึ่งแสดงถึงความมั่นใจในความสามารถในการทำกำไรและกระแสเงินสดของบริษัท การจ่ายเงินปันผลในอัตราที่สูงกว่ากำไรนี้เป็นไปได้เนื่องจากบริษัทมีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งและกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่ดี
นายนกุล เซห์กัล หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการเงิน (ร่วม) บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า “ทรู คอร์ปอเรชั่น มุ่งสร้างคุณค่าอย่างยั่งยืนให้แก่ผู้ถือหุ้นมาโดยตลอด การพิจารณาครั้งนี้ยืนยันความมั่นมั่นของบริษัทในการส่งมอบผลตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้น ควบคู่กับการรักษาวินัยทางการเงินและการเติบโตอย่างมีกำไร”
ในไตรมาส 3/2568 ทรู คอร์ปอเรชั่น มีผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ทั้งสิ้น 46.9 ล้านเลขหมาย ลดลง 2.4 ล้านเลขหมาย หรือ 4.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน การลดลงนี้เป็นผลมาจากกลยุทธ์ของบริษัทที่มุ่งเน้นการสร้างฐานผู้ใช้บริการที่มีคุณภาพ โดยลดการเพิ่มจำนวนผู้ใช้งานแบบหมุนเวียนที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ที่แท้จริง พร้อมปรับโครงสร้างค่าใช้จ่ายด้านค่าคอมมิชชั่นให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
นอกจากนี้ ภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ลดลงก็ส่งผลกระทบต่อจำนวนผู้ใช้บริการโดยรวม อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงเติบโตในกลุ่มธุรกิจอื่น โดยผู้ใช้บริการอินเทอร์เน็ตบ้านเพิ่มขึ้น 2.0% อยู่ที่ 3.8 ล้านราย และมีผู้ใช้บริการเครือข่าย 5G ถึง 15.5 ล้านราย ซึ่งแสดงถึงการยอมรับเทคโนโลยีรุ่นใหม่ของผู้บริโภคและศักยภาพในการสร้างรายได้ในอนาคต

บริษัทยังได้ประกาศความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับบริษัทเทคโนโลยีระดับโลก เพื่อร่วมกันพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านปัญญาประดิษฐ์และคลาวด์ ซึ่งจะเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลของประเทศไทย และเสริมสร้างขีดความสามารถสำหรับการแข่งขันในระยะยาว การลงทุนในธุรกิจใหม่เหล่านี้จะช่วยสร้างแหล่งรายได้ที่หลากหลายนอกเหนือจากธุรกิจหลักด้านโทรคมนาคม
รายได้จากการให้บริการไม่รวมค่าเชื่อมต่อโครงข่าย (IC) อยู่ที่ 4.13 หมื่นล้านบาท ลดลงเพียง 0.6% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า แม้รายได้จากธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่จะชะลอตัว แต่รายได้จากธุรกิจออนไลน์และธุรกิจโทรทัศน์บอกรับสมาชิกช่วยชดเชยส่วนหนึ่ง หากไม่รวมผลกระทบจากเหตุการณ์ระบบโครงข่ายขัดข้องชั่วคราวในไตรมาสที่ 2 และการลดลงของรายได้จากการให้บริการข้ามโครงข่ายภายในประเทศ จะเห็นว่ารายได้จากการให้บริการปรับตัวดีขึ้นทั้งเมื่อเทียบรายปีและรายไตรมาส การเปิดตัว iPhone รุ่นใหม่ในไตรมาสนี้ยังช่วยให้รายได้จากการขายผลิตภัณฑ์เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
รายได้รวมลดลง 7.1% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยได้รับผลกระทบหลักจากการสิ้นสุดสัญญาการใช้ประโยชน์จากคลื่นความถี่ร่วมกับ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2568 ซึ่งทำให้รายได้ค่าเช่าโครงข่ายลดลง อย่างไรก็ตาม การสิ้นสุดสัญญานี้กลับส่งผลดีต่อต้นทุนในการดำเนินงานของบริษัท
สิ่งที่โดดเด่นในไตรมาสนี้คือการบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพสูง ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานไม่รวมค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (D&A) ลดลงถึง 21.6% จากปีก่อนหน้า สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานและความสามารถในการทำกำไรอย่างยั่งยืน ต้นทุนโครงข่ายลดลง 16.3% จากการจัดสรรคลื่นความถี่ใหม่และการพัฒนาโครงข่ายให้ทันสมัย (Network Modernization) ซึ่งช่วยลดค่าใช้จ่ายในการเช่าโครงข่ายและเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการ
ในขณะที่ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (SG&A) ลดลง 6.2% จากการรับรู้ผลประโยชน์จากการควบรวมกิจการผ่านการปรับโครงสร้างองค์กรให้ทันสมัยและการริเริ่มกลยุทธ์ทางการตลาดที่เฉพาะเจาะจง แนวทางการบริหารทางการเงินอย่างมีวินัยของบริษัท รวมถึงการบูรณาการกรอบการดำเนินงานที่มุ่งเน้นความสามารถในการทำกำไรในระยะยาว ทำให้ได้ผลลัพธ์ที่แข็งแกร่ง บริษัทยังคงมุ่งมั่นที่จะรักษาการควบคุมค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานอย่างเคร่งครัด ควบคู่กับการลงทุนเพื่อการเติบโตในอนาคต
นับตั้งแต่การควบรวมกิจการเสร็จสมบูรณ์ ทรู คอร์ปอเรชั่น บันทึกการปรับตัวดีขึ้นของ EBITDA สะสมจำนวน 7.5 พันล้านบาท ซึ่งเป็นการยืนยันความสำเร็จของกลยุทธ์การบูรณาการ สำหรับไตรมาส 3/2568 บริษัทมี EBITDA เพิ่มขึ้น 7.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 7.9% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ด้วยการได้รับแรงหนุนหลักจากการจัดสรรคลื่นความถี่และการประหยัดต้นทุนที่เกี่ยวข้อง อัตราส่วน EBITDA ต่อรายได้จากการให้บริการเพิ่มขึ้น 5.1 จุดเปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า มาอยู่ที่ 65.3% สำหรับไตรมาสนี้ ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่ดีมากสำหรับธุรกิจโทรคมนาคม
อัตราส่วนหนี้สินต่อกำไร (Net Debt to EBITDA) ของบริษัทอยู่ที่ 4.2 เท่า ณ สิ้นไตรมาส 3/2568 ลดลง 0.2 เท่าเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และเพิ่มขึ้น 0.2 เท่าเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน การลดลงของอัตราส่วนหนี้สินต่อกำไรแสดงให้เห็นถึงสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งและความสามารถในการบริหารจัดการหนี้สินที่ดีขึ้น ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับผู้ถือหุ้นและนักลงทุน
ทรู คอร์ปอเรชั่น ยังคงมุ่งมั่นลงทุนเพื่อสร้างความเติบโตในระยะยาว โดยค่าใช้จ่ายด้านการลงทุน (CAPEX) สำหรับไตรมาส 3/2568 อยู่ที่ 6.9 พันล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 15% ของยอดขาย การลงทุนเหล่านี้มุ่งเน้นไปที่การยกระดับโครงข่าย การพัฒนาสินทรัพย์ดิจิทัล และนวัตกรรมใหม่ที่จะช่วยเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว โดยเฉพาะการขยายโครงข่าย 5G และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล
บริษัทบันทึกรายการที่ไม่ใช่เงินสดที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว (One-Time Non-Cash) จำนวน 3 พันล้านบาทที่เกี่ยวข้องกับการด้อยค่าสินทรัพย์จากการดำเนินการพัฒนาโครงข่ายให้ทันสมัยและการยุติบริการคลื่น 850 MHz ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนปรับปรุงโครงสร้างโครงข่ายเพื่อรองรับการให้บริการในอนาคต เมื่อปรับปรุงผลกระทบจากรายการครั้งเดียวนี้ กำไรสุทธิหลังหักภาษีมีจำนวน 4.6 พันล้านบาท สะท้อนถึงความแข็งแกร่งในการดำเนินงานและการดำเนินกลยุทธ์ของบริษัท
ด้วยผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งในไตรมาส 3/2568 และแนวโน้มที่เป็นบวกจากการบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ การขยายฐานผู้ใช้บริการ 5G และการลงทุนในธุรกิจใหม่ ทรู คอร์ปอเรชั่น มั่นใจในการดำเนินงานสู่การบรรลุเป้าหมายสำหรับปี 2568 และในระยะยาว บริษัทยังคงมุ่งเน้นการสร้างคุณค่าอย่างยั่งยืนให้กับผู้ถือหุ้น ลูกค้า และสังคม ผ่านการพัฒนานวัตกรรมและการยกระดับคุณภาพการให้บริการอย่างต่อเนื่อง