News PR

ทรูจ่ายปันผลครั้งแรก 6.6 พันล้าน อัตราจ่าย 125% หลังกำไรพุ่ง 3 ไตรมาสติด

บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลเป็นครั้งแรก มูลค่า 6.6 พันล้านบาท หลังจากทำกำไรสุทธิต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่สามติดต่อกัน โดยบริษัทฯ มีกำไรสุทธิไตรมาส 3/2568 อยู่ที่ 1.6 พันล้านบาท

ทรู คอร์ปอเรชั่น รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปี 2568 ที่แข็งแกร่ง โดยมีกำไรสุทธิหลังหักภาษี (NPAT) อยู่ที่ 1.6 พันล้านบาท ซึ่งถือเป็นไตรมาสที่สามติดต่อกันที่บริษัทสามารถทำกำไรได้ หากไม่รวมผลกระทบจากรายการพิเศษที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว บริษัทมีกำไรสุทธิหลังปรับปรุง (Normalized Net Profit) สูงถึง 4.6 พันล้านบาท

ด้านรายได้ก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย หรือ EBITDA ของบริษัทอยู่ที่ 2.7 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ความสามารถในการทำกำไรที่เพิ่มขึ้นนี้มาจากการได้รับใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ใหม่ ซึ่งช่วยลดต้นทุนโครงข่ายและเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการ

นายซิกเว่ เบรกเก้ ประธานคณะผู้บริหารกลุ่ม บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น

นายซิกเว่ เบรกเก้ ประธานคณะผู้บริหารกลุ่ม บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า “เมื่อสิ้นสุดไตรมาส 3/2568 เราคงความสามารถในการทำกำไรได้อย่างต่อเนื่อง โดยมีหมุดหมายสำคัญคือการจ่ายเงินปันผลครั้งแรกให้ผู้ถือหุ้น ความสามารถในการทำกำไรที่แข็งแกร่งขึ้นจากการปรับตัวดีขึ้นของ EBITDA และการบริหารการเงินอย่างมีวินัย ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ลูกค้าและผู้ถือหุ้นอย่างยั่งยืน”

สำหรับการดำเนินงานในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 ทรู คอร์ปอเรชั่น มีกำไรสุทธิหลังหักภาษีรวม 5.2 พันล้านบาท คณะกรรมการบริษัทจึงมีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลเป็นครั้งแรก จำนวน 6.6 พันล้านบาท คิดเป็น 0.19 บาทต่อหุ้น หรืออัตราการจ่ายปันผลสูงถึง 125% ซึ่งแสดงถึงความมั่นใจในความสามารถในการทำกำไรและกระแสเงินสดของบริษัท การจ่ายเงินปันผลในอัตราที่สูงกว่ากำไรนี้เป็นไปได้เนื่องจากบริษัทมีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งและกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่ดี

นายนกุล เซห์กัล หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการเงิน (ร่วม) บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า “ทรู คอร์ปอเรชั่น มุ่งสร้างคุณค่าอย่างยั่งยืนให้แก่ผู้ถือหุ้นมาโดยตลอด การพิจารณาครั้งนี้ยืนยันความมั่นมั่นของบริษัทในการส่งมอบผลตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้น ควบคู่กับการรักษาวินัยทางการเงินและการเติบโตอย่างมีกำไร”

ในไตรมาส 3/2568 ทรู คอร์ปอเรชั่น มีผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ทั้งสิ้น 46.9 ล้านเลขหมาย ลดลง 2.4 ล้านเลขหมาย หรือ 4.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน การลดลงนี้เป็นผลมาจากกลยุทธ์ของบริษัทที่มุ่งเน้นการสร้างฐานผู้ใช้บริการที่มีคุณภาพ โดยลดการเพิ่มจำนวนผู้ใช้งานแบบหมุนเวียนที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ที่แท้จริง พร้อมปรับโครงสร้างค่าใช้จ่ายด้านค่าคอมมิชชั่นให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

นอกจากนี้ ภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ลดลงก็ส่งผลกระทบต่อจำนวนผู้ใช้บริการโดยรวม อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงเติบโตในกลุ่มธุรกิจอื่น โดยผู้ใช้บริการอินเทอร์เน็ตบ้านเพิ่มขึ้น 2.0% อยู่ที่ 3.8 ล้านราย และมีผู้ใช้บริการเครือข่าย 5G ถึง 15.5 ล้านราย ซึ่งแสดงถึงการยอมรับเทคโนโลยีรุ่นใหม่ของผู้บริโภคและศักยภาพในการสร้างรายได้ในอนาคต

ทรูจ่ายปันผลครั้งแรก 6.6 พันล้าน

บริษัทยังได้ประกาศความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับบริษัทเทคโนโลยีระดับโลก เพื่อร่วมกันพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านปัญญาประดิษฐ์และคลาวด์ ซึ่งจะเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลของประเทศไทย และเสริมสร้างขีดความสามารถสำหรับการแข่งขันในระยะยาว การลงทุนในธุรกิจใหม่เหล่านี้จะช่วยสร้างแหล่งรายได้ที่หลากหลายนอกเหนือจากธุรกิจหลักด้านโทรคมนาคม

รายได้จากการให้บริการไม่รวมค่าเชื่อมต่อโครงข่าย (IC) อยู่ที่ 4.13 หมื่นล้านบาท ลดลงเพียง 0.6% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า แม้รายได้จากธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่จะชะลอตัว แต่รายได้จากธุรกิจออนไลน์และธุรกิจโทรทัศน์บอกรับสมาชิกช่วยชดเชยส่วนหนึ่ง หากไม่รวมผลกระทบจากเหตุการณ์ระบบโครงข่ายขัดข้องชั่วคราวในไตรมาสที่ 2 และการลดลงของรายได้จากการให้บริการข้ามโครงข่ายภายในประเทศ จะเห็นว่ารายได้จากการให้บริการปรับตัวดีขึ้นทั้งเมื่อเทียบรายปีและรายไตรมาส การเปิดตัว iPhone รุ่นใหม่ในไตรมาสนี้ยังช่วยให้รายได้จากการขายผลิตภัณฑ์เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

รายได้รวมลดลง 7.1% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยได้รับผลกระทบหลักจากการสิ้นสุดสัญญาการใช้ประโยชน์จากคลื่นความถี่ร่วมกับ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2568 ซึ่งทำให้รายได้ค่าเช่าโครงข่ายลดลง อย่างไรก็ตาม การสิ้นสุดสัญญานี้กลับส่งผลดีต่อต้นทุนในการดำเนินงานของบริษัท

สิ่งที่โดดเด่นในไตรมาสนี้คือการบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพสูง ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานไม่รวมค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (D&A) ลดลงถึง 21.6% จากปีก่อนหน้า สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานและความสามารถในการทำกำไรอย่างยั่งยืน ต้นทุนโครงข่ายลดลง 16.3% จากการจัดสรรคลื่นความถี่ใหม่และการพัฒนาโครงข่ายให้ทันสมัย (Network Modernization) ซึ่งช่วยลดค่าใช้จ่ายในการเช่าโครงข่ายและเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการ

ในขณะที่ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (SG&A) ลดลง 6.2% จากการรับรู้ผลประโยชน์จากการควบรวมกิจการผ่านการปรับโครงสร้างองค์กรให้ทันสมัยและการริเริ่มกลยุทธ์ทางการตลาดที่เฉพาะเจาะจง แนวทางการบริหารทางการเงินอย่างมีวินัยของบริษัท รวมถึงการบูรณาการกรอบการดำเนินงานที่มุ่งเน้นความสามารถในการทำกำไรในระยะยาว ทำให้ได้ผลลัพธ์ที่แข็งแกร่ง บริษัทยังคงมุ่งมั่นที่จะรักษาการควบคุมค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานอย่างเคร่งครัด ควบคู่กับการลงทุนเพื่อการเติบโตในอนาคต

นับตั้งแต่การควบรวมกิจการเสร็จสมบูรณ์ ทรู คอร์ปอเรชั่น บันทึกการปรับตัวดีขึ้นของ EBITDA สะสมจำนวน 7.5 พันล้านบาท ซึ่งเป็นการยืนยันความสำเร็จของกลยุทธ์การบูรณาการ สำหรับไตรมาส 3/2568 บริษัทมี EBITDA เพิ่มขึ้น 7.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 7.9% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ด้วยการได้รับแรงหนุนหลักจากการจัดสรรคลื่นความถี่และการประหยัดต้นทุนที่เกี่ยวข้อง อัตราส่วน EBITDA ต่อรายได้จากการให้บริการเพิ่มขึ้น 5.1 จุดเปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า มาอยู่ที่ 65.3% สำหรับไตรมาสนี้ ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่ดีมากสำหรับธุรกิจโทรคมนาคม

อัตราส่วนหนี้สินต่อกำไร (Net Debt to EBITDA) ของบริษัทอยู่ที่ 4.2 เท่า ณ สิ้นไตรมาส 3/2568 ลดลง 0.2 เท่าเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และเพิ่มขึ้น 0.2 เท่าเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน การลดลงของอัตราส่วนหนี้สินต่อกำไรแสดงให้เห็นถึงสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งและความสามารถในการบริหารจัดการหนี้สินที่ดีขึ้น ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับผู้ถือหุ้นและนักลงทุน

ทรู คอร์ปอเรชั่น ยังคงมุ่งมั่นลงทุนเพื่อสร้างความเติบโตในระยะยาว โดยค่าใช้จ่ายด้านการลงทุน (CAPEX) สำหรับไตรมาส 3/2568 อยู่ที่ 6.9 พันล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 15% ของยอดขาย การลงทุนเหล่านี้มุ่งเน้นไปที่การยกระดับโครงข่าย การพัฒนาสินทรัพย์ดิจิทัล และนวัตกรรมใหม่ที่จะช่วยเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว โดยเฉพาะการขยายโครงข่าย 5G และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล

บริษัทบันทึกรายการที่ไม่ใช่เงินสดที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว (One-Time Non-Cash) จำนวน 3 พันล้านบาทที่เกี่ยวข้องกับการด้อยค่าสินทรัพย์จากการดำเนินการพัฒนาโครงข่ายให้ทันสมัยและการยุติบริการคลื่น 850 MHz ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนปรับปรุงโครงสร้างโครงข่ายเพื่อรองรับการให้บริการในอนาคต เมื่อปรับปรุงผลกระทบจากรายการครั้งเดียวนี้ กำไรสุทธิหลังหักภาษีมีจำนวน 4.6 พันล้านบาท สะท้อนถึงความแข็งแกร่งในการดำเนินงานและการดำเนินกลยุทธ์ของบริษัท

ด้วยผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งในไตรมาส 3/2568 และแนวโน้มที่เป็นบวกจากการบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ การขยายฐานผู้ใช้บริการ 5G และการลงทุนในธุรกิจใหม่ ทรู คอร์ปอเรชั่น มั่นใจในการดำเนินงานสู่การบรรลุเป้าหมายสำหรับปี 2568 และในระยะยาว บริษัทยังคงมุ่งเน้นการสร้างคุณค่าอย่างยั่งยืนให้กับผู้ถือหุ้น ลูกค้า และสังคม ผ่านการพัฒนานวัตกรรมและการยกระดับคุณภาพการให้บริการอย่างต่อเนื่อง

SHARE
คนเล่าเรื่องไอที ที่เชื่อว่าการได้เดินทางและการพบปะพูดคุยกับผู้คนในสายงานต่าง ที่ไม่คุ้นเคยคือกำไรชีวิต...หลงไหลในการเดินทางเป็นชีวิตจิตใจ ตื่นเต้นทุกครั้งเมื่อได้เจอเจ้าหน้าที่ ตม.
RELATED POSTS
Acer เปิดตัว Predator Gaming โน้ตบุ๊กและเดสก์ท็อปใหม่ พร้อม NVIDIA GeForce RTX 50 Series
แคสเปอร์สกี้เผย! ธุรกิจไทยเสี่ยงภัยคุกคามทางเว็บกว่า 5,800 ครั้งต่อวัน
เตรียมกับสินค้าราคาพิเศษจาก RTB Technology ในงาน Thailand Mobile Expo 2020

Leave Your Reply

*