ใครที่กำลังมองหาสมาร์ตโฟนกล้องแรง เน้นซูมสุดๆ ยิงถ่ายได้ใกล้ไกลครบจบ วันนี้เรามีเจ้า OPPO Find X9 Pro มาให้เช็กกันแบบจัดเต็ม!

กับกล้อง Hasselblad Telephoto ความละเอียดสูงถึง 200MP ที่ทำให้การซูมไปไกลๆ ก็ยังคมชัดระดับ “เห็นขนตาเลย” พร้อมด้วยแบตเตอรี่จัมโบ้ 7,500 mAh ที่จัดหนักใช้งานได้ถึง 2 วันเต็มๆ เรียกได้ว่าเป็นสมาร์ตโฟนที่ตอบโจทย์ทั้งช่างภาพและคนใช้งานหนัก มาดูกันว่ามันโดนใจขนาดไหน?
แกะกล่องแรก! มาดูว่าในกล่องมีอะไรบ้าง

เปิดกล่อง OPPO Find X9 Pro แรกเจอก็รู้สึกได้ถึงความพรีเมียมทันที ตัวเครื่องนอนเรียบร้อยอยู่ในถาดสีดำสุดหรู ยกออกมาแล้วก็รู้สึกได้ถึงความหนักแน่น น้ำหนัก 224 กรัมจับกำลังดี ไม่เบาจนเกินไปจนรู้สึกว่าไม่แข็งแรง

ส่วนอุปกรณ์ในกล่องก็ครบครันเริ่มกันที่หัวชาร์จไว 80W SUPERVOOC, สายชาร์จ USB-C คุณภาพดี เคสใสสำหรับใส่ป้องกัน, คู่มือการใช้งาน และเข็มดัน SIM Tray ครบเซ็ตทุกอย่างที่จำเป็น OPPO ใส่ใจรายละเอียดตั้งแต่เปิดกล่องจริงๆ


ดีไซน์เรียบหรู บางสุดๆ แต่แข็งแรงทนทาน
พอหยิบตัวเครื่องขึ้นมาถือครั้งแรก ต้องบอกว่าประทับใจมาก! แม้ว่าสมาร์ตโฟนเครื่องนี้จะบรรจุแบตเตอรี่ขนาดยักษ์ถึง 7,500 mAh แต่ตัวเครื่องกลับบางเพียง 8.25 มม. เท่านั้น ซึ่งถือว่าเป็นความสำเร็จทางวิศวกรรมที่น่าทึ่งมากๆ จับถนัดมือ ไม่รู้สึกเทอะทะแต่อย่างใด

OPPO Find X9 Pro มาให้เลือกสองสีสุดสวย คือสีขาว Silk White ที่ให้ความรู้สึกเรียบหรูสง่างาม มีประกายมุกเล็กน้อยเหมือนผ้าไหม ดูหรูหราแต่ไม่ฉูดฉาด และสีเทา Titanium Charcoal ที่มีพื้นผิวแบบด้านดูสุขุม เหมาะกับคนที่ชอบความเท่และดูมีสไตล์ ทั้งสองสีต่างก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่สวยงาม เลือกได้ตามความชอบเลย

ขอบเครื่องเป็นแบบเรียบพร้อมโค้งมนเล็กน้อย จับถนัดมือมาก ไม่บาดมือแม้จะใช้งานนานๆ ดีไซน์ของสมาร์ตโฟนเครื่องนี้เน้นความเรียบง่ายแต่ทันสมัย ไม่มีอะไรโผล่ออกมามากมาย ดูสะอาดตา
การออกแบบด้านข้างเครื่องจัดวางอย่างลงตัว เมื่อมาดูรายละเอียดการวางตำแหน่งพอร์ตและช่องต่างๆ บนตัวเครื่อง เราจะพบว่าผู้ผลิตได้จัดวางอย่างมีระเบียบและคำนึงถึงการใช้งานจริง

ส่วนด้านบนของเครื่อง นั้นมีไมโครโฟนตัดเสียงรบกวนตัวที่สอง ซึ่งทำงานร่วมกับตัวที่ด้านล่างเพื่อช่วยกรองเสียงรบกวนจากสภาพแวดล้อมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้การสนทนาหรือการบันทึกเสียงมีคุณภาพที่ชัดเจนยิ่งขึ้น

ด้านล่างของเครื่อง มีการจัดเรียงที่น่าสนใจ โดยเริ่มจากทางด้านซ้ายสุดเป็นช่องใส่ถาดซิมการ์ด ซึ่งเข้าถึงง่ายเมื่อต้องการเปลี่ยนซิม ถัดมาเป็นไมโครโฟนตัดเสียงรบกวนตัวแรก ที่จะช่วยให้คุณภาพเสียงในการโทรหรือบันทึกเสียงดียิ่งขึ้น ตรงกลางเป็นตำแหน่งของพอร์ต USB Type-C ซึ่งใช้สำหรับชาร์จแบตเตอรี่และถ่ายโอนข้อมูล และทางด้านขวาสุดคือลำโพงเสียง ที่จะให้เสียงสเตอริโอคู่กับลำโพงด้านบน
ตัวเครื่องได้รับการออกแบบปุ่มควบคุมอย่างลงตัว โดยด้านขวาจัดเรียงปุ่มต่างๆ อย่างเป็นระเบียบ เริ่มจากปุ่มปรับระดับเสียงด้านบนสุด ตามด้วยปุ่ม Power ตรงกลางที่รองรับการล็อคหน้าจอ เปิด-ปิด และรีสตาร์ทเครื่อง และปิดท้ายด้วยปุ่ม Quick Button ที่ช่วยให้เปิดกล้องถ่ายภาพได้ทันที
ส่วนด้านซ้ายจะมีปุ่ม Snap Key พิเศษที่ผู้ใช้สามารถกำหนดฟังก์ชันการทำงานได้ตามความต้องการ

การวางตำแหน่งแบบนี้ถือว่าเป็นมาตรฐานที่ดี ใช้งานสะดวก และตอบโจทย์การใช้งานในชีวิตประจำวันได้เป็นอย่างดี
สิ่งที่น่าสนใจมากๆ คือมาตรฐานกันน้ำกันฝุ่นครบถึง 3 ระดับ คือ IP66, IP68 และ IP69 จึงไม่ต้องกังวลเรื่องฝนตก หกน้ำใส่ หรือใช้งานในสภาพแวดล้อมที่ชื้นแฉะ ใช้ได้สบายใจเลย
โมดูลกล้องหลัง โดดเด่นด้วยเทคโนโลยี Hasselblad
จุดเด่นที่สุดของตัวเครื่องคือโมดูลกล้องด้านหลังที่ถูกวางไว้ตรงมุมซ้ายบน ภายในโมดูลมีกล้องทั้งหมด 4 ตัว จัดเรียงอย่างสมมาตรสวยงาม ประกอบด้วยกล้องหลัก 50MP, กล้อง Telephoto 200MP, กล้อง Ultra-Wide 50MP และกล้องสีสันสมจริง (True Color Camera) พร้อมตราสัญลักษณ์ Hasselblad ที่บอกได้เลยว่านี่คือกล้องระดับมืออาชีพ

การวางตำแหน่งของโมดูลกล้องก็ถูกคำนวณมาอย่างดี เวลาถือโทรศัพท์แนวตั้งหรือนอน นิ้วจะไม่ไปบังเลนส์โดยไม่ตั้งใจ ช่วยให้ถ่ายภาพได้สะดวกสบายมากขึ้น ดีไซน์ที่ใส่ใจในรายละเอียดทุกจุดแบบนี้ชอบมากๆ
มีปุ่มพิเศษ “Snap Key” และ “Quick Button” ใช้สะดวกสุดๆ
ด้านซ้ายของตัวเครื่องมี Snap Key ซึ่งเป็นปุ่มทางกายภาพที่ปรับแต่งได้ตามใจชอบ สามารถตั้งค่าให้ทำหน้าที่ต่างๆ ได้หลากหลาย เช่น สลับโปรไฟล์เสียง เปิด-ปิดไฟฉาย บันทึกเสียง แปลภาษา หรือจับภาพหน้าจอ ใช้งานง่ายมาก

โดยค่าเริ่มต้นจะเชื่อมโยงกับ AI Mind Space ซึ่งแตะเพื่อจับภาพหน้าจอ กดค้างเพื่อบันทึกเสียง และกดสองครั้งเพื่อเปิด AI Mind Space โดยตรง สะดวกสบายมาก

ส่วนด้านขวามี Quick Button ที่อัปเกรดใหม่ให้แม่นยำยิ่งขึ้น สามารถตรวจจับการเคลื่อนไหวด้วยการปัดเพียง 0.3 มม. ฟังก์ชันของปุ่มนี้คือแตะสองครั้งเพื่อเปิดกล้อง กดเพื่อถ่ายภาพ กดค้างเพื่อถ่ายภาพต่อเนื่อง

และเมื่อโทรศัพท์อยู่ในแนวนอน ยังสามารถปัดปุ่มเพื่อซูมเข้าและออกได้อีกด้วย สะดวกมากสำหรับช่างภาพที่ต้องการควบคุมการถ่ายภาพอย่างรวดเร็ว รู้สึกได้ถึงความใส่ใจในการออกแบบเพื่อผู้ใช้งานจริงๆ

หน้าจอสวยปัง ขอบบางสุดเท่าที่เคยมี
พลิกมาด้านหน้า คุณจะได้พบกับจอ AMOLED ขนาด 6.78 นิ้ว ความละเอียด 2772×1272 พิกเซล (ประมาณ 450PPI) ที่บานใหญ่พอดีมือ ดูหนัง ซีรีส์ หรือเล่นเกมก็สะใจตาไปหมด

ที่สะดุดตาที่สุดคือขอบจอบางเพียง 1.15 มม. ทั้งสี่ด้าน ซึ่งถือเป็นสถิติบางสุดในประวัติศาสตร์สมาร์ตโฟน OPPO ทำให้หน้าจอดูไร้ขีดจำกัด ดื่มด่ำกับภาพได้อย่างเต็มที่
ส่วนความสว่างนั้นยิ่งทรงพลัง ด้วยความสว่างทั่วไปที่ 1,800 nits และพุ่งสูงสุดถึง 3,600 nits เมื่ออยู่กลางแจ้ง แม้แดดจ้าก็มองเห็นชัด ขณะที่เวลากลางคืนหรี่แสงได้ต่ำสุดเพียง 1 nit พร้อมระบบ PWM ความถี่ 2,160Hz ที่ช่วยลดอาการปวดตาและตาล้า
ปลดล็อกไว…สแกนลายนิ้วมืออัลตราโซนิก 3 มิติ
สมาร์ตโฟนเครื่องนี้มาพร้อมเครื่องสแกนลายนิ้วมืออัลตราโซนิก 3 มิติรุ่นล่าสุด ที่ปลดล็อกเร็วขึ้น 35% และเชื่อถือได้มากขึ้น 33% เมื่อเทียบกับเครื่องสแกนแบบออปติคัลทั่วไป แม้นิ้วมือจะเปียกหรือมีคราบมันก็ยังสแกนได้อย่างแม่นยำ ใช้งานจริงแล้วรู้สึกได้ถึงความรวดเร็วชัดเจน แตะปุ๊บก็ปลดล็อกปั๊บ

ข้อดีอีกอย่างที่ชอบมากคือไม่มีแสงจ้าตอนปลดล็อก ซึ่งต่างจากเครื่องสแกนแบบออปติคัลที่จะมีแสงสะท้อนเจ็บตาตอนกลางคืน สแกนลายนิ้วอัลตราโซนิกนี้ทำงานแบบไม่มีแสง สบายตามากๆ โดยเฉพาะตอนดึกๆ ที่เปิดเครื่องในที่มืด
กล้องระดับมืออาชีพ Hasselblad Master System
มาถึงจุดเด่นสุดๆ ของสมาร์ตโฟนเครื่องนี้แล้ว นั่นก็คือระบบกล้อง Hasselblad Master ที่พัฒนาร่วมกับ Hasselblad อย่างใกล้ชิด จนได้ประสิทธิภาพระดับมืออาชีพมาไว้ในสมาร์ตโฟนได้อย่างสมบูรณ์แบบ

กล้องหลัง 50MP พร้อมเทคโนโลยี Ultra XDR
เริ่มต้นที่กล้องหลักซึ่งใช้เซ็นเซอร์ Sony LYT-828 ขนาด 1/1.28 นิ้ว ความละเอียด 50MP รูรับแสง f/1.5 พร้อม OIS จับแสงได้มากขึ้น 30% จากรุ่นก่อน ทำให้ถ่ายภาพกลางคืนได้สว่างคมชัดปราศจากนอยซ์
จุดเด่นสุดคือระบบถ่ายภาพซ้อนแบบเรียลไทม์ 3 ระดับ ที่ผสานการรับแสงหลายระดับในทุกเฟรม ให้ช่วงไดนามิกสูงถึง 17 สต็อป เก็บรายละเอียดทั้งเงาและไฮไลท์ได้อย่างยอดเยี่ยม เหนือกว่าเซ็นเซอร์ขนาด 1 นิ้วเสียอีก

200MP Hasselblad Telephoto ไฮไลท์ที่แรงที่สุดต้องยกให้กล้อง Hasselblad Telephoto ความละเอียด 200MP สูงสุดเท่าที่เคยมีใน OPPO โดยใช้เซ็นเซอร์ Samsung S5KHP5 ขนาด 1/1.56 นิ้ว ใหญ่กว่าเซ็นเซอร์ Telephoto ในสมาร์ตโฟน Pro ล่าสุดถึง 2 เท่า ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการรับแสงอย่างมาก

เลนส์ Periscope โฟกัส 70mm รูรับแสง f/2.1 พร้อม OIS ใช้กระจกเกรดเดียวกับอุตสาหกรรมอวกาศ ให้ภาพสวยคมชัดพร้อมสีสันสมจริง ถ่ายคอนเสิร์ตหรืองานกีฬา ซูมเข้าไปไกลๆ ก็ยังเห็นหน้าชัดเจน

ที่น่าทึ่งยิ่งกว่านั้นคือระบบ “โฟกัสลอยตัว” (Floating Focus Design) ที่โฟกัสได้ใกล้สุดเพียง 10 เซนติเมตร เปลี่ยนให้กล้อง Telephoto กลายเป็นเลนส์มาโครทรงพลัง ถ่ายดอกไม้ แมลง หรือวัตถุเล็กๆ ได้คมชัดสุดประทับใจ

ส่วนกล้องมุมกว้าง 50MP ใช้เซ็นเซอร์ Samsung 5KJN5 โฟกัส 15mm รูรับแสง f/2.0 พร้อม Autofocus โฟกัสได้ใกล้สุดเพียง 3.5 เซนติเมตร เหมาะถ่ายทิวทัศน์หรือรูปกลุ่มคน โดยภาพสวยไม่บิดเบี้ยว







นอกจากนี้ยังมีกล้องสีจริง (True Color Sensor) ที่ใช้เซ็นเซอร์สเปกตรัม 9 ช่องสัญญาณ 2 ล้านพิกเซล วัดอุณหภูมิสีได้แม่นยำ ทำให้สีผิวและสีอาหารออกมาสวยสมจริง แม้ในสถานการณ์ท้าทาย เช่น แสงนีออนยามค่ำคืน
โหมด Hasselblad Hi-Res ความคมชัดระดับ 16K
หากต้องการความคมชัดสูงสุด เปิดโหมด Hasselblad Hi-Res และเลือก 200MP จะได้ภาพความละเอียดระดับ 16K ซูมเข้าไปแค่ไหนก็ยังเห็นรายละเอียดชัดเจน เหมาะสำหรับพิมพ์ขนาดใหญ่หรือครอปภาพโดยไม่เสียคุณภาพ



และสุดท้าย กล้องหน้า 50MP โฟกัส 21mm รูรับแสง f/2.0 พร้อม Autofocus ถ่ายเซลฟี่ได้คมชัดสวยงาม แม้ถ่ายวิดีโอก็ลื่นไหลไม่มีสะดุด



ซูมไกลแค่ไหนก็คมชัด ระบบซูมสุดล้ำ นอกจากการซูมออปติคอล 3 เท่าแล้ว ยังปลดล็อกความคล่องตัวด้วยการครอบตัดภาพอย่างชาญฉลาด การซูม 6 เท่าให้ภาพความละเอียด 50 ล้านพิกเซล


ยิ่งไปกว่านั้น คอมพิวเตอร์ขั้นสูงช่วยให้ซูมได้โดยไม่สูญเสียรายละเอียดถึง 13.2 เท่า และซูมได้สูงสุดถึง 120 เท่าด้วยอัลกอริทึม Super Resolution
LUMO Imaging Engine สมองกลที่ทำให้ภาพสวยขึ้น

ฮาร์ดแวร์กล้องที่แรงๆ เหล่านี้ยังได้รับการเสริมทัพด้วย LUMO Image Engine ระบบประมวลผลภาพขั้นสูงที่ช่วยให้ภาพคมชัดขึ้น ช่วงไดนามิกดีขึ้น นอยซ์น้อยลง พร้อมรักษาโทนสีธรรมชาติ
ครั้งแรกกับถ่ายภาพ 50MP ได้อัตโนมัติ คมชัดระดับ 8K
สมาร์ตโฟนส่วนใหญ่แม้จะติดเซ็นเซอร์ความละเอียดสูง ก็ไม่ได้บันทึกภาพด้วยความละเอียดเต็มที่ เพราะข้อจำกัดในการประมวลผล จึงต้องรวมพิกเซล (Pixel Binning) ทำให้ได้เพียง 12 ล้านพิกเซล
ภาพเคลื่อนไหว 4K และวิดีโอระดับโปร
ด้านวิดีโอก็ไม่น่าผิดหวัง OPPO Find X9 Pro ทลายข้อจำกัดด้วยโหมดภาพเคลื่อนไหวคมชัดระดับ 4K รุ่นแรกของโลก ให้ความละเอียดสูงกว่าถึงสี่เท่า คุณสามารถดึงเฟรมใดๆ ออกจากคลิป 4K ได้ แต่ละเฟรมจะคมชัดพิเศษ ยังสร้างภาพเคลื่อนไหวแบบ Collage, บันทึกสโลว์โมชั่น 4K และแชร์ไปยัง Instagram ได้โดยตรง

กล้องทุกตัวรวมถึงกล้องหน้ารองรับ 4K 60fps Dolby Vision HDR ส่วนกล้องหลักและกล้อง Telephoto ยังรองรับ 4K 120fps ใน Dolby Vision โดยไม่กระทบระบบกันสั่น สำหรับนักสร้างสรรค์มืออาชีพ มีโหมดวิดีโอ PRO พร้อมบันทึก LOG เต็มรูปแบบ พร้อมฟังก์ชัน LUT Preview และรองรับมาตรฐาน ACES ระดับโลก
โหมด Hasselblad ครบครัน ถ่ายได้หลากหลายสไตล์
ความหลากหลายด้านโหมดถ่ายภาพก็ครบครัน โหมด Master ให้ควบคุมด้วยตนเองอย่างเต็มรูปแบบ ปรับแต่งให้เลียนแบบกล้อง Hasselblad X2D รองรับการถ่าย JPEG MAX ความละเอียด 50MP และ RAW MAX ที่อุดมด้วยข้อมูล
โหมด Hasselblad XPAN ช่วยให้ถ่ายภาพพาโนรามา 65:24 ด้วยความคมชัดระดับ 8K พร้อมภาพเคลื่อนไหวสไตล์คลาสสิก อารมณ์ภาพวินเทจสวยมากๆ สามารถรวมสามภาพเป็นภาพพาโนรามาขนาดใหญ่เพื่อการเล่าเรื่องที่สมบูรณ์



โหมด Hasselblad Portrait ช่วยให้เลือกระยะโฟกัสได้อย่างอิสระตั้งแต่ 1x ถึง 3.6x ด้วย LUMO Image Engine ตัดขอบแม่นยำแม้กระทั่งเส้นผม พร้อมโบเก้แบบภาพยนตร์สไตล์ Hasselblad คลาสสิก กล้องสีสันคมชัดช่วยเก็บโทนสีผิวได้เป็นธรรมชาติแม้ในสถานการณ์ท้าทาย


ด้านฟิลเตอร์ มีระบบแฟลชคู่ใหม่ที่ส่องได้ไกลกว่าสองเมตร แฟลชยิงสองครั้งเพื่อสร้างเอฟเฟกต์ CCD สุดเท่ห์วินเทจสไตล์กล้องดิจิทัลยุคต้นทศวรรษ 2000 พร้อมโหมดจำลองฟิล์มถึงหกโหมด รวมเอฟเฟกต์ CCD ใหม่สองแบบ (Cold Flash และ Warm Flash) นำไปใช้กับทั้งภาพถ่าย ภาพเคลื่อนไหว และวิดีโอได้


Stage Mode – ถ่ายคอนเสิร์ตให้ปัง ชัดแจ๋วไม่มีพลาด!
อยากได้ภาพคอนเสิร์ตสวยปังมั้ย? Stage Mode คือโหมดเทพที่ออกแบบมาเพื่อช่วงเวลาเหล่านี้โดยเฉพาะเลย! แค่แตะปุ่มเดียวในโหมด Camera หรือ Video ระบบก็จัดการให้หมด ปรับคอนทราสต์กับความคมชัดแบบออโต้ ไม่ว่าแสงจะมืดหรือฉูดฉาดแค่ไหนก็เอาอยู่

ที่เจ๋งกว่านั้นคือ เมื่อจับคู่กับกล้อง 200MP Hasselblad Telephoto ซูมไกลได้สุดๆ ถึง 120x ชัดคมไม่มีเบลอ! ส่วนถ่ายวิดีโอยิ่งโหด ซูมได้ไกลสุดที่ 18x ในความละเอียด 4K 60fps เปิด HDR กับกันสั่นได้ด้วย หมายความว่าแม้นั่งไกลแค่ไหน ก็จับภาพไอดอลบนเวทีได้คมชัดสุดๆ สีสันกับไฟสเตจสวยปังโดยอัตโนมัติเลย

แถมยังมีไมค์ 4 ตัวระดับสตูดิโอ ที่มาพร้อมฟีเจอร์ “โฟกัสเสียง” เน้นเสียงนักร้องให้ชัดเจน ตัดเสียงกรี๊ดรอบข้างทิ้งไป เสียงใส ภาพคมชัด บันทึกทุกโมเมนต์สุดประทับใจได้แบบครบเครื่องเรื่อง!
เสริมทัพด้วยชุดเลนส์เสริม OPPO Hasselblad

และอีกหนึ่งลูกเล่นที่หลายคนรอคอย คือชุดเลนส์เสริม OPPO Hasselblad เลนส์เทเลโฟโต้ระดับ Super 3.28x ระยะโฟกัส 230 มม. พร้อมเซ็นเซอร์ขนาดใหญ่ 1/1.56 นิ้ว ความละเอียด 200 ล้านพิกเซล และรูรับแสงกว้าง f/2.1

ถ่ายทอดภาพระยะไกลได้คมชัด สว่าง และเปี่ยมด้วยรายละเอียด เหมาะสำหรับช่างภาพที่ต้องการความยืดหยุ่นในการถ่ายภาพมากขึ้น


สเปกแรงสุดๆ ชิป MediaTek Dimensity 9500 และของใหม่อย่าง ColorOS 16 รุ่นล่าสุด
สมาร์ตโฟนเครื่องนี้เป็นหนึ่งในรุ่นแรกที่ใช้ชิปเซ็ต MediaTek Dimensity 9500 รุ่นล่าสุด สร้างบนกระบวนการ 3 นาโนเมตรขั้นสูงของ TSMC มาพร้อมดีไซน์ซีพียู All Big Core เจเนอเรชันที่ 3 ประกอบด้วยอัลตราคอร์ 4.21 GHz, คอร์พรีเมียม 3 คอร์ และคอร์ประสิทธิภาพสูง 4 คอร์ จัดการงานหนักได้อย่างสบาย

ประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้นอย่างน่าทึ่ง เมื่อเทียบกับรุ่นก่อน CPU เร็วขึ้น 32% ประหยัดพลังงาน 55%, GPU เร็วขึ้น 33% ประหยัดพลังงาน 42%, ส่วน NPU พุ่งขึ้น 111% ประหยัดพลังงาน 56% ใช้งานจริงลื่นไหลไร้สะดุด

ชิปเซ็ตนี้เสริมด้วย MediaTek NPU 990 เจเนอเรชันที่ 9 ที่มอบประสิทธิภาพเหนือกว่าอย่างชัดเจน มาพร้อมแรม LPDDR5X และหน่วยความจำ UFS4.1 รวมถึง RAM/ROM 16+512GB ที่เพียงพอสำหรับการใช้งานทุกรูปแบบ ติดตั้งแอปได้เพียบ เก็บรูปวิดีโอได้เต็มที่

เปิดประสบการณ์ใหม่กับ ColorOS 16 ยกระดับประสบการณ์สมาร์ตโฟนด้วยความลื่นไหลไร้รอยต่อ AI ที่โดดเด่น ColorOS 16 ใหม่พร้อมปฏิวัติประสบการณ์สมาร์ตโฟนด้วย Luminous Rendering Engine ที่มอบความลื่นไหลไร้ขีดจำกัด ผสาน AI จาก Google Gemini ที่เข้าใจคุณลึกซึ้ง และทลายกำแพงการเชื่อมต่อข้าม Windows กับ Mac ให้คุณทำงานและสร้างสรรค์ได้มากขึ้น ง่ายขึ้น สนุกขึ้น

ความลื่นไหลระดับใหม่ด้วย Seamless Animation ขยายไปทั่วทั้งระบบ ทุกการเปิดปิดแอป สลับหน้าจอ หรือเลื่อนดูเนื้อหา ตอบสนองและเชื่อมโยงกันอย่างไร้รอยต่อ หัวใจสำคัญคือ Luminous Rendering Engine ที่ประมวลผลทุกองค์ประกอบพร้อมกัน ทำให้การสะดุดหายไป ระบบทำงานราบรื่นอย่างสมบูรณ์

หน้าจอหลัก Flux ให้กดค้างโฟลเดอร์ปรับขนาดได้ตามใจ เลย์เอาต์เปลี่ยนแบบไดนามิก ครั้งแรกที่ไอคอนแอปขยายได้พร้อมฝังทางลัดโหมดกล้องหรือ Hasselblad XPAN เข้าถึงทันทีแค่แตะครั้งเดียว


Aqua Dynamics ให้ดูและโต้ตอบข้อมูลทันทีโดยไม่เปิดแอป รองรับตั้งแต่ฟังเพลง ติดตามเดินทาง ไปจนถึง Google Sports ติดตามทีมโปรดเรียลไทม์

หน้าจอล็อกมีชีวิตด้วย Motion Photos และวิดีโอวอลเปเปอร์ ปรับข้อความด้วยฟอนต์ที่ AI แนะนำ Full-Screen AOD แสดงภาพพร้อมข้อมูลสำคัญ แตะครั้งเดียวเปลี่ยนเป็นหน้าจอล็อกเต็มได้

OPPO AI เพิ่มพลังชีวิต
AI Mind Space ปัดขึ้นสามนิ้วหรือกดปุ่ม Snap Key ข้อมูลก็บันทึกทันที ระบบเข้าใจเนื้อหา เห็นโปสเตอร์คอนเสิร์ตก็จดวันเวลาแนะนำเพิ่มปฏิทิน เห็นตารางนัดก็จำรายละเอียดพร้อมเพิ่มกิจกรรม

Gemini ทำให้ AI Mind Space เป็นฐานความรู้ส่วนตัว สั่ง “วางแผนทริปญี่ปุ่นจากโน้ต ดูอากาศพรุ่งนี้” Gemini วิเคราะห์เนื้อหา ดึงข้อมูลอากาศ สร้างแผนส่วนตัวให้ เชื่อมลึกเข้าแอปหลัก สั่งงานภาษาธรรมชาติจัดการ Settings, Clock, Calendar, Notes Gemini Live ส่องเมนูอาหารต่างประเทศแปลทันที รับคำแนะนำเข้ากับบริบท


AI Recorder ถอดเสียงสดๆ จำว่าใครพูด สร้างชื่อสรุปทันที ส่งออกไฟล์เสียง PDF หรือ Word AI Writer ตรวจอีเมล ปรับรายงาน สร้างแคปชั่นโซเชียล AI Portrait Glow แก้ไขภาพแสงไม่ดีด้วยแตะครั้งเดียว

Private Computing Cloud ปกป้องข้อมูล OPPO Lock ป้องกันโจรกรรม ล็อกจากระยะไกล ตรวจจับพฤติกรรมผิดปกติอัตโนมัติ
Connectivity เชื่อมต่ออิสระ
PC Connect รองรับ Mac และ Windows ดูจัดการแก้ไขไฟล์จากโทรศัพท์บนคอมพิวเตอร์ Screen Mirroring แสดงหน้าจอเรียลไทม์บน PC ควบคุมห้าแอปพร้อมกันด้วยเมาส์และคีย์บอร์ด ควบคุมคอมพิวเตอร์จากโทรศัพท์ได้ ดูเดสก์ท็อปเรียลไทม์ ลากวางไฟล์เข้าโทรศัพท์ทันที

Touch to Share ขยายจาก iPhone ไปอุปกรณ์ OPPO แชร์รูป วิดีโอ ไฟล์ โน้ต แตะถือสองเครื่องให้ติดกัน ข้อมูลถ่ายโอนทันที
OPPO Trinity Engine ปลดปล่อยพลังเต็มสูบ
OPPO Trinity Engine ผลจากความร่วมมือกับ MediaTek เพื่อปรับแต่งการจัดการทรัพยากรระดับชิป ให้ประสิทธิภาพสูงอย่างต่อเนื่อง ประหยัดพลังงาน ใช้งานหนักไม่ร้อน ไม่แบตหมดเร็ว
เทคโนโลยีหลักประกอบด้วย การซิงค์เฟรมไดนามิกระดับชิป เพิ่มประสิทธิภาพ 37% ในสถานการณ์ใช้งานหนัก, ระบบประมวลผลพลังงานแบบรวม ที่แม่นยำกว่า 90% ในการคาดการณ์พลังงาน, ตัวกำหนดตารางการทำงาน ที่ลดความซ้ำซ้อนของคำสั่ง 29.6% และเซ็นเซอร์ Offload ประหยัดพลังงาน 16.1% ขณะบันทึกวิดีโอ 4K 60fps HDR
เต็มไปด้วยเทคโนโลยีเพื่อประสบการณ์ลื่นไหลและยาวนาน
ระบบระบายความร้อนสุดล้ำ ใช้งานหนักก็ไม่ร้อน
OPPO Find X9 Pro มาพร้อมระบบระบายความร้อนแบบมืออาชีพ ด้วยพื้นที่กระจายความร้อนขนาดใหญ่ถึง 36,344.4 ตร.มม. เพิ่มขึ้นกว่ารุ่นก่อนถึง 33.7% โดยผสานเทคโนโลยีขั้นสูง 3 ชั้นเข้าด้วยกัน ได้แก่ Vapor Chamber รุ่นใหม่ เจลระบายความร้อนสูตรพิเศษ และแผ่นกราไฟต์ขนาดใหญ่

ที่น่าสนใจคือ Vapor Chamber ถูกออกแบบใหม่ทั้งระบบด้วยตาข่ายสแตนเลสสตีลบางเพียง 0.025 มม. ทำให้ลดความหนาลงแต่ถ่ายเทความร้อนได้ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ยิ่งไปกว่านั้น ระบบยังครอบคลุมถึงโมดูลกล้อง ช่วยป้องกันความร้อนสะสมตอนถ่ายวิดีโอ 4K หรือใช้งานหนักติดต่อกัน ผลลัพธ์คือ คุณสามารถใช้งานเต็มสมรรถนะได้ยาวนานโดยไม่ต้องกังวลเรื่องเครื่องร้อนจัด
ดูหนัง ฟังเพลง เล่นเกม สนุกสุดมันส์
ด้วยจอแสดงผล AMOLED ขนาด 6.78 นิ้ว ของสมาร์ตโฟนเครื่องนี้มาพร้อมอัตราการรีเฟรช 1-120Hz แบบ LTPO ที่ปรับอัตโนมัติตามเนื้อหา ความสว่างสูงสุด 3,600 nits ทำให้ดูหนัง ดูซีรีส์ หรือเล่นเกมได้อย่างสะใจตาในทุกสภาวะแสง แม้แดดจัดก็ดูชัดเจน

จอรองรับ Dolby Vision, HDR10+ และ HDR Vivid ทำให้คอนเทนต์ความบันเทิงต่างๆ มีสีสันสดใส เข้มลึก สมจริงสมจัง ส่วนเสียงนั้นมาพร้อมระบบไมโครโฟน 4 ตัวระดับสตูดิโอ ที่บันทึกเสียงคุณภาพสูงได้อย่างยอดเยี่ยม และยังมีฟีเจอร์ “โฟกัสเสียง” ที่สามารถเน้นเสียงของนักแสดงและลดเสียงรบกวนรอบข้างได้อีกด้วย ถ่ายคอนเสิร์ตก็ชัดเจน

เวลาเล่นเกม ประสิทธิภาพของชิปเซ็ต MediaTek Dimensity 9500 ทำงานได้อย่างลื่นไหล เฟรมเรตเสถียร ไม่มีสะดุด แถมยังมี X-axis Haptic Motor ที่ให้ฟีดแบ็กสั่นสะเทือนแม่นยำ เสมือนจริง เพิ่มความมันส์ในการเล่นเกมได้อีกระดับ เล่น PUBG, MLBB หรือเกมหนักๆ ก็ลื่นไหลทุกเกม
ความลื่นไหลก็ไม่มีให้ผิดหวัง เพราะมาพร้อมอัตราการรีเฟรช 1-120Hz แบบ LTPO ที่ปรับอัตโนมัติตามเนื้อหา อ่านข่าวหรือดูหนังก็ลดอัตราเพื่อประหยัดแบต แต่พอเล่นเกมหรือเลื่อนดูคอนเทนต์ ทันทีที่จอจะเพิ่มขึ้นเต็ม 120Hz ให้การแสดงผลสมูทไร้สะดุด และครบสูตรด้วยการรองรับ Dolby Vision, HDR10+ และ HDR Vivid ที่ทำให้ทุกคอนเทนต์ HDR แสดงผลสมจริง สีสันสดใส เข้มลึก คุณภาพภาพระดับโรงภาพยนตร์อยู่ในมือคุณจริงๆ
แบตเตอรี่ 7,500 mAh สุดอึด บางเพียง 8.25 มม.
OPPO Find X9 Pro โดดเด่นด้วยแบตเตอรี่ความจุมหาศาล 7,500 mAh เพิ่มขึ้นกว่า 25% จาก X8 Pro แต่ยังคงความบาง 8.25 มม. เท่าเดิม ใช้งานได้ยาวนานสองวันเต็มต่อการชาร์จครั้งเดียว แม้ใช้งานหนักตลอดวันก็ไม่ต้องกังวล

ความสำเร็จนี้มาจากเทคโนโลยีแบตเตอรี่ซิลิคอน-คาร์บอนรุ่นที่ 3 ที่มีซิลิคอน 15% เพิ่มความหนาแน่นพลังงานได้เหนือกว่าแบตเตอรี่แบบเดิมอย่างมาก พร้อมคงความจุไว้ได้ 80% แม้ใช้งานถึง 5 ปี รับประกันความทนทานระยะยาว

รองรับการชาร์จไว 80W SUPERVOOC ชาร์จไม่กี่นาทีใช้งานได้หลายชั่วโมง หรือใช้หัวชาร์จ PD แบรนด์อื่นได้ 55W

นอกจากนี้ยังมีการชาร์จไร้สาย 50W AIRVOOC และชาร์จไร้สายย้อนกลับ 10W สามารถชาร์จอุปกรณ์อื่นเช่นหูฟังหรือสมาร์ตวอทช์ได้โดยตรง ตอบโจทย์ครบทุกการใช้งาน
มาตรฐานความทนทานระดับ IP66 | IP68 | IP69
สมาร์ตโฟนเครื่องนี้ได้รับการออกแบบมาเพื่อความทนทานสูงสุด โดยให้การป้องกันที่ครอบคลุมด้วยการรับรองมาตรฐานระดับ IP66, IP68 และ IP69 การรับรองมาตรฐาน IP68 รับประกันการป้องกันที่ได้รับการพิสูจน์แล้วจากฝุ่นและการแช่น้ำเป็นเวลานาน ระดับ IP69 แสดงถึงการป้องกันจากเครื่องฉีดน้ำแรงดันสูงและอุณหภูมิสูง ช่วยให้มั่นใจได้ว่าอุปกรณ์จะสามารถทนต่อสภาวะที่รุนแรงยิ่งขึ้นได้

นอกจากนี้สมาร์ตโฟนเครื่องนี้ยังได้รับการรับรอง SGS Drop Resistance for overall 5 stars ยืนยันความแข็งแรงทนทานต่อการกระแทก ใช้งานได้อย่างมั่นใจในชีวิตประจำวัน ไม่ต้องกลัวฝนตก น้ำหก หรือตกกระแทก ใช้ได้สบายใจ
เชื่อมต่อแรง AI LinkBoost ครอบคลุมทุกสัญญาณ
OPPO Find X9 Pro ยกระดับการเชื่อมต่อด้วยเทคโนโลยี AI LinkBoost ที่ผสานพลังฟีเจอร์ทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์เข้าด้วยกัน เริ่มจากชิป RF ที่พัฒนาเองร่วมกับเสาอากาศ 360 องศา ที่ช่วยเพิ่มพลังอัปลิงก์มากกว่า 30% พร้อมปรับปรุงเสถียรภาพสัญญาณและป้องกันสัญญาณรบกวนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะใช้งานที่ไหนก็จับสัญญาณได้แรงชัดเจน

ที่สำคัญกว่านั้นคือ อัลกอริทึม AI ที่ปรับแต่งตามสถานการณ์ ทำงานอัจฉริยะเพื่อรักษาการเชื่อมต่อให้เสถียรแม้ในพื้นที่สัญญาณอ่อน เช่น ลิฟต์ โรงรถใต้ดิน หรือขณะเดินทางด้วยความเร็วสูง ส่งผลให้ทุกการใช้งานลื่นไหลไร้สะดุด ตั้งแต่การแชร์ไฟล์ผ่าน WhatsApp สตรีมวิดีโอบน YouTube และ TikTok ไปจนถึงการเล่นเกมออนไลน์อย่าง MLBB และ PUBG Mobile ที่ไม่แลค ไม่ดีเลย์ เล่นได้เต็มที่ทุกเกม
OPPO Find X9 Series วางจำหน่ายอย่างเป็นทางการ พร้อมโปรโมชั่นสุดพิเศษ
OPPO Find X9 มาพร้อมดีไซน์สุดโดดเด่นใน 2 สี คือ Silk White และ Titanium Charcoal โดยมี 2 รุ่นให้เลือก ได้แก่ รุ่น 12+256GB ราคา 29,999 บาท และรุ่น 16+512GB ราคา 34,999 บาท ขณะที่ OPPO Find X9 Pro (16+512GB) มาในสีคลาสสิกอย่าง Titanium Grey และ Space Black วางจำหน่ายในราคา 42,999 บาท

สำหรับผู้ที่รีบจองในช่วง 7-30 พฤศจิกายน 2568 จะได้รับสิทธิพิเศษมูลค่ารวมสูงสุด 23,348 บาท ประกอบด้วย E-VIP Card พร้อมประกันหน้าจอแตก 2 ปี, Google AI Pro ฟรี 3 เดือน และ Light Luxury Magnetic Case

นอกจากนี้ยังสามารถเป็นเจ้าของได้ง่ายยิ่งขึ้นด้วยโปรแกรม Trade Up นำเครื่องเก่ามาแลกรับส่วนลดสูงสุด 10,000 บาท พร้อมทั้งมีบริการผ่อนชำระดาวน์เริ่มต้น 0% ให้เป็นเจ้าของสมาร์ทโฟนเรือธงได้ง่ายกว่าที่เคย
สนใจจับจองก่อนใคร? แวะมาได้เลยที่ OPPO Brand Shop และตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศตั้งแต่วันนี้
สรุปแล้ว…น่าใช้มากๆ คุ้มค่าทุกบาท
หลังจากใช้งาน OPPO Find X9 Pro มาระยะหนึ่ง ต้องยอมรับว่าเครื่องนี้ตอบโจทย์ได้ครบจบในเครื่องเดียวจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นช่างภาพ นักใช้งานหนัก หรือเกมเมอร์

จุดเด่นที่โดดเด่นสุด คือกล้อง 200MP Hasselblad Telephoto ที่ซูมไกลได้คมชัดระดับเห็นรายละเอียด เหมาะกับการถ่ายคอนเสิร์ต งานกีฬา หรือสัตว์ป่าระยะไกลได้อย่างสบายใจ ที่สำคัญ แบตเตอรี่ 7,500 mAh ใช้งานจริง 2 วันเต็มโดยไม่ต้องกังวลเรื่องแบตหมดกลางวัน แม้ใช้จัดหนักก็ยังเหลือใช้

ด้านประสิทธิภาพ ชิปเซ็ต MediaTek Dimensity 9500 ทำงานลื่นไหลไร้สะดุด จอแสดงผลสว่างจัดจ้านสะใจตา นอกจากนี้ ดีไซน์ยังบางเฉียบจับถนัดมือ พร้อมมาตรฐานกันน้ำกันฝุ่นครบครัน และฟีเจอร์ AI ที่ช่วยให้ชีวิตสะดวกสบายยิ่งขึ้น
โดยรวมแล้ว ถ้าคุณชอบถ่ายภาพ ต้องการกล้องซูมแรงและแบตอึดใช้ยาวนาน OPPO Find X9 Pro คือตัวเลือกที่คุ้มค่าสำหรับสมาร์ตโฟนระดับแฟลกชิปเลยครับ