Apple เปิดฉากโจมตีทางกฎหมายครั้งใหญ่ที่สุดต่อกฎหมาย Digital Markets Act (DMA) ของสหภาพยุโรป โดยแจ้งต่อศาลอันดับสองของ EU ว่าระบบการแข่งขันใหม่นี้บังคับให้เปลี่ยนแปลง iPhone, App Store และ iMessage อย่างผิดกฎหมาย
แอปเปิล กำลังเข้าสู่ขั้นตอนสุดท้ายของการเจรจาตกลงกับคณะกรรมาธิการยุโรปเพื่อยุติการสอบสวนข้อหาผูกขาดหลายคดีภายใต้ Digital Markets Act (DMA) หรือพระราชบัญญัติตลาดดิจิทัล ในความพยายามหลีกเลี่ยงค่าปรับรายวันที่อาจสูงถึง 5% ของรายได้เฉลี่ยทั่วโลก
แอปเปิล เตรียมปล่อย iOS 18.4 ที่นำ Apple Intelligence มาสู่ผู้ใช้ในสหภาพยุโรปเป็นครั้งแรก แต่ยังคงตัดฟีเจอร์ iPhone Mirroring และ SharePlay Screen Sharing ออกเนื่องจากข้อกังวลด้านกฎระเบียบ
แอปเปิล ได้รับการยืนยันจากสหภาพยุโรปว่าสามารถผลิต iPhone ไร้พอร์ตได้โดยไม่ขัดต่อกฎหมาย Common Charger Directive ที่บังคับใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต้องใช้พอร์ต USB-C
คณะกรรมาธิการยุโรปประกาศมาตรการบังคับ แอปเปิล ให้ปฏิบัติตามกฎหมาย DMA ด้านการเชื่อมต่อระหว่างระบบ สร้างความไม่พอใจให้บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยี
แอปเปิล (Apple) ตัดสินใจถอน iPhone 14, iPhone 14 Plus และ iPhone SE รุ่นที่ 3 ออกจากร้านค้าออนไลน์ในประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปส่วนใหญ่แล้ว เนื่องจากกฎระเบียบใหม่ที่กำหนดให้สมาร์ตโฟนที่วางจำหน่ายต้องมีพอร์ต USB-C สำหรับการชาร์จแบบมีสาย
คณะกรรมาธิการยุโรปประกาศเริ่มตรวจสอบ iPadOS อย่างเป็นทางการ เพื่อประเมินการปฏิบัติตามกฎหมาย Digital Markets Act (DMA) โดยเฉพาะประเด็นการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์เสริมของผู้ผลิตรายอื่น หลังจากที่ระบบปฏิบัติการนี้ถูกจัดให้เป็นแพลตฟอร์ม “gatekeeper” เมื่อเดือนเมษายน 2024
ผู้ใช้ iPhone และ iPad ในสหภาพยุโรปกำลังจะได้อิสระในการเลือกแอปพลิเคชันเริ่มต้นมากขึ้น หลังจาก แอปเปิล เปิดเผยเอกสารการปฏิบัติตามกฎหมาย Digital Markets Act ว่าจะอนุญาตให้ผู้ใช้สามารถตั้งค่าแอปแผนที่และแอปแปลภาษาเริ่มต้นได้ในช่วงฤดูใบไม้ผลิปี 2025
รัฐบาลอังกฤษเปิดรับฟังความคิดเห็นสาธารณะเกี่ยวกับการบังคับใช้ USB-C เป็นพอร์ตชาร์จมาตรฐานสำหรับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งอาจส่งผลให้อังกฤษเข้าร่วมแนวทางเดียวกับสหภาพยุโรปที่เพิ่งประกาศใช้กฎระเบียบนี้
ศาลยุติธรรมแห่งสหภาพยุโรป (CJEU) มีคำพิพากษายืนยันให้บริษัทกูเกิลต้องจ่ายค่าปรับจำนวน 2.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในคดีละเมิดกฎหมายต่อต้านการผูกขาด หลังจากการต่อสู้ทางกฎหมายที่ยืดเยื้อมานานถึง 7 ปี คดีนี้เริ่มต้นขึ้นในปี พ.ศ. 2560 เมื่อคณะกรรมาธิการยุโรปพบว่ากูเกิลใช้บริการเปรียบเทียบราคาสินค้าของตนเองในลักษณะที่สร้างความได้เปรียบอย่างไม่เป็นธรรมเหนือคู่แข่งรายย่อยในยุโรป กูเกิลได้ยื่นอุทธรณ์คำตัดสินดังกล่าว แต่แพ้คดีในปี พ.ศ. 2564 จากนั้นจึงนำคดีขึ้นสู่ศาล CJEU ซึ่งเป็นศาลสูงสุดของสหภาพยุโรป ในการต่อสู้คดี กูเกิลอ้างว่าค่าปรับดังกล่าวเป็นการลงโทษการครองตำแหน่งผู้นำในตลาดของบริษัท และคำตัดสินเดิมตีความการปรับปรุงคุณภาพบริการว่าเป็นการปฏิบัติที่ละเมิดกฎหมาย อย่างไรก็ตาม ศาล CJEU ไม่เห็นด้วยกับข้อโต้แย้งดังกล่าว และยืนยันคำตัดสินของศาลชั้นต้น โดยระบุว่าแม้กูเกิลจะได้รับอนุญาตให้ครองตำแหน่งผู้นำในตลาด แต่ไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้อำนาจนั้นในทางที่ผิด คดีนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของปัญหาทางกฎหมายที่กูเกิลกำลังเผชิญในสหภาพยุโรป ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา บริษัทถูกปรับเป็นเงินรวมกว่า 8.25 พันล้านยูโร (ประมาณ 9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) จากการละเมิดกฎหมายต่อต้านการผูกขาด นอกจากนี้ กูเกิลยังอยู่ระหว่างการต่อสู้คดีสำคัญอีกสองคดีที่เกี่ยวข้องกับระบบปฏิบัติการมือถือ Android และแพลตฟอร์มโฆษณา AdSense ล่าสุด บริษัทยังเผชิญกับข้อกล่าวหาใหม่เกี่ยวกับการผูกขาดตั้งแต่ปีที่แล้ว ซึ่งอาจส่งผลให้ต้องขายธุรกิจเทคโนโลยีโฆษณาที่ทำกำไรมหาศาล หลังจากที่หน่วยงานกำกับดูแลกล่าวหาว่ากูเกิลให้สิทธิพิเศษแก่บริการโฆษณาของตนเองอย่างไม่เป็นธรรม สถานการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามอย่างต่อเนื่องของสหภาพยุโรปในการควบคุมบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ ผ่านการบังคับใช้กฎหมายและบทลงโทษที่เข้มงวด โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่พระราชบัญญัติตลาดดิจิทัล (DMA) มีผลบังคับใช้ ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อสร้างตลาดดิจิทัลที่เป็นธรรมและมีการแข่งขันมากขึ้น แม้ว่า Margrethe Vestager ผู้มีบทบาทสำคัญในการต่อต้านบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ในสหภาพยุโรปจะลาออกจากตำแหน่ง แต่ดูเหมือนว่าแรงกดดันต่อบริษัทเหล่านี้จะยังคงดำเนินต่อไป สะท้อนให้เห็นว่าสหภาพยุโรปมุ่งมั่นที่จะบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดเพื่อควบคุมการดำเนินงานของบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ในตลาดดิจิทัล เพื่อรักษาผลประโยชน์ของผู้บริโภคและส่งเสริมการแข่งขันที่เป็นธรรมในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี อ้างอิง | Phonearena.com
